มูลเหตุของการสะสมพระ
เหตุที่ พระบูชาและพระพิมพ์หรือพระเครื่อง สืบทอดมาให้พบเห็นจนถึงปัจจุบันเกิดจากมูลเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ ความศรัทธาและการสะสม
1. ความศรัทธา ก่อเกิดแรงจูงใจ มีแรงดลบันดาลใจให้สร้างรูปปฏิมากรรมต่าง ๆ จนกลายมาเป็นโบราณสถาน และโบราณวัตถุในปัจจุบันและศรัทธานั้นเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ ความเคารพนับถือยกย่องเชิดชู จึงต้องการสร้างวัตถุที่ทรงคุณค่ามาทำการสักการบูชาจนแสดงออกมาเป็นปฏิมากรรมต่าง ๆ รวมถึงความศรัทธาความเชื่อในกุศลผลบุญที่จะได้รับจากการได้สร้าง ได้ดำรงไว้ และสืบทอดพระศาสนาในรูปแบบของการสร้างพระพุทธปฏิมาเก็บไว้ตามกรุต่าง ๆ ก็เป็นผลมาจากความศรัทธาในพระศาสนาทั้งสิ้น
2. การสะสม เจตนารมณ์ที่สำคัญซึ่งบรรดานักสะสมพระพิมพ์หรือพระเครื่องที่เป็นชาวพุทธ หรือนับถือศาสนาอื่น สนใจสะสมพระพิมพ์หรือพระเครื่องไว้ในครอบครองแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้คือ
2.1 สะสมไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึง “พระธรรม” ของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลาการที่มีความรู้สึกสัมผัสกับองค์พระพิมพ์เล็ก ๆ จะเป็นด้วยการห้อยอยู่ที่คอ หรืออยู่ในตลับ ในกระเป๋าเสื้อ หรือกลัดติดอยู่กับเสื้อก็ตาม ขณะใดที่เกิดสัมผัส ย่อมก่อเกิดสติในธรรม หรืออาจจะพูดได้ว่าอยู่ใน ศีล – สมาธิ – ปัญญา ให้ประพฤติดีประพฤติชอบ ถือว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ที่จะรักษา กาย วาจา ใจ ตามหลักการของชาวพุทธทางฝ่ายหินยานโดยตรง นับว่ามีประโยชน์มากสำหรับสภาพการณ์ปัจจุบันนี้ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อาจหาเวลาและโอกาสจะเข้าวัดเข้าโบสถ์ ไปฟัง “ธรรม” ด้วยตนเองได้เช่นสมัยก่อน จึงถือว่าผู้ที่บูชาและสะสมพระพิมพ์เหล่านี้ เป็นชาวพุทธตามแบบฝ่ายหินยาน
2.2 สะสมไว้เพื่อเตือนให้ระลึกถึง “พระเดช” “พระคุณ” ของพระพุทธเจ้าทางฝ่ายมหายาน องค์ใดก็ตามที่ตนนับถือ ตราบใดก็ตามที่ตนนับถือ ตราบใดที่มีความรู้สึกสัมผัสองค์พระพิมพ์ จะเป็นด้วยห้อยอยู่ที่คอ กลัดอยู่กับเสื้อ หรืออยู่ในตลับในกระเป๋าเสื้อ เช่นเดียวกับประเภทที่ 2.1 ก็ตาม ความน้อมรำลึกถึง “พระเดช” “พระคุณ” ของพระพุทธเจ้ามหายาน ที่ตนเชื่อว่าจะช่วยให้เกิด “พลังอำนาจ” ของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ๆ ปรากฏเป็นอานุภาพต่าง ๆ ขึ้นได้ แล้วแต่ครูอาจารย์ผู้สร้างปลุกเสกพุทธานุภาพบรรจุลงในพระพิมพ์หรือพระเครื่องนั้น ๆ
ในระยะแรกเริ่มของการสร้างพระพิมพ์นั้น เริ่มสร้างโดยจำลองพระพุทธเจ้าฝ่ายมหายาน มีการสร้างเป็นชุด ๆ ละ 5 พระองค์ ซึ่งประจำทิศสำคัญ ๆ ทั้ง 4 ทิศ รวมทิศเบื้องบนหรือกลางอีกเป็น 5 พระองค์ คือ พระไวโรจนะ ประจำทิศเบื้องบนหรือกลาง ซึ่งเป็นองค์ปฐมและองค์สำคัญที่สุด เป็นองค์กำเนิดของพระพุทธเจ้ามหายานองค์อื่น ๆ และพระโพธิสัตว์ผู้รักษาพระศาสนาขององค์อื่น ๆ ด้วย ทิศตะวันออก คือ พระอักโษภยะ ทิศตะวันตก คือ พระอมิตาภะ ทิศเหนือ คือ พระอโฆษสิทธิ ทิศใต้ คือ พระรัตนสัมภาวะ ต่อมาจึงแยกออกเป็น 8 พระองค์ 16 พระองค์ 24 พระองค์ ฯลฯ จนระยะหลัง ๆ นี้ ปรากฏว่า มีพระพุทธเจ้ามหายาน พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
เจตนาในการสะสมพระพิมพ์และมีไว้ประจำตัวของฝ่ายมหายานมีกำเนิดมานานแล้วโดยถือว่า พระพุทธเจ้า มหายานองศ์ที่ตนนับถือมาเป็นสื่อกลางให้ตนได้รับ “พระเดช” “พระคุณ” เพื่อการไปสู่พุทธภูมิได้ สมัยแรกที่เกิดนิกายโพธิสัตว์ขึ้นอย่างจริงจังและแพร่หลายเมื่อประมาณ พ.ศ. 600 จากการที่พระเจ้ากนิษกะ กษัตริย์องค์สำคัญที่สุดแห่งแคว้นคันธาระ ที่ได้ทรงอุปถัมภ์ทำสังคายนา พระศาสนาครั้งที่ 4 ขึ้นที่เมืองเปชวาร์ นิกายมหายานในสมัยนั้นเกิดขึ้นมาก แต่ที่แพร่หลายและนับถือกันมากที่สุดมีเพียง 3 นิกาย คือ นิกายโพธิสัตว์ นิกายสุขาวดี และนิกายตรีกาย นับเป็นนิกายที่เด่นชัดที่สุดในสมัยนั้น
ฝ่ายมหายานถือว่า การบรรลุไปสู่ “พุทธภูมิ” ซึ่งมีพระพุทธเจ้ามหายานองค์สำคัญเป็นประธานอยู่นั้น จะช่วยได้ด้วยอำนาจของ “พระเดช” และ “พระคุณ” ที่จะดลบันดาลให้ผู้เลื่อมใสระลึกถึงธรรม สามารถให้เกิด “พลังอำนาจจิต” ที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ยอม อุทิศกายอุทิศใจช่วยปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขต่อมนุษย์และสรรพสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ในโลกปัจจุบันได้ ลำพัง “พลังอำนาจจิต” ของตนเองย่อมไม่กล้าแข็งพอจึงต้องพึ่งอำนาจภายนอกคืออำนาจ “พระเดช” “พระคุณ” ของพระพุทธเจ้ามหายานองค์ที่ตนศรัทธาเลื่อมใสเป็นสื่อกลาง นอกเสียจากบุคคลซึ่งได้สร้างสมกุศลกรรม มาในอดีตชาติเท่านั้น จึงจะมีพลังอำนาจจิตกล้าแข็ง พร้อมที่จะช่วยปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขแก่สัตว์โลกได้ทุกขณะ เช่น พระพุทธองค์ ดังปรากฏในทศชาติชาดก (ฝ่ายมหายานถือว่าพระสมณโคดม เป็นพระพุทธเจ้ามหายานองค์ที่ 4 ของโลกปัจจุบัน) และโดยความเชื่อของฝ่ายมหายาน เชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนสามารถจะเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ส่วนจะเป็นขั้นต่ำขั้นสูงก็แล้วแต่การบำเพ็ญโพธิญาณ (พระปัญญาที่ทำให้ตรัสรูเป็นพระพุทธเจ้า) ด้วยเหตุนี้การสะสมพระพิมพ์ของฝ่ายมหายานจังเกิดความคิดและความเชื่อดังที่กล่าวมา
ในระยะต่อมา ราวประมาณ พ.ศ. 1300 เมื่อราชวงศ์ปาละแห่งอินเดียวเหนือมีอำนาจขึ้นในอินเดีย นิกายมหายานสำคัญอีกนิกายหนึ่งที่พัฒนาจากฮินดูตันตระมาเป็นพุทธตันตระ ซึ่งประชาชนนิยมเลื่อมใสมาก มีการใช้เวทมนต์คาถากำกับการปฏิบัติธรรมให้เกิดพลังอำนาจหนักไปทางอาถรรพณ์ เริ่มด้วยอาถรรพ์จากพระเวทย์ทั้ง 4 คือ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ลาภสักการ ปราบศัตรู ทั้งได้มีการศึกษาเล่าเรียนกันในมหาวิทยาลัยสำคัญที่สุดของอินเดียสมัยนั้น คือ มหาวิทยาลัยนาลันทา และมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา ตลอดจนมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ด้วย ทำให้เห็นว่าเรื่องการศึกษาพระเวทย์วิทยาคมเป็นสิ่งที่มีมาแต่โบราณอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
การสร้างพระพิมพ์ นับแต่ประมาณ พ.ศ. 1300 เป็นต้นมา จึงมีพระพิมพ์จำนวนมากที่สร้างด้วยการปลุกเสกบรรจุพลังอำนาจทางอาถรรพณ์จากพระเวทย์ทั้ง 4 ขึ้นมามากมาย รวมทั้งในแถบสุวรรณภูมิด้วย จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีการสร้างพระพิมพ์แบบนี้อยู่อีก ฉะนั้นการสะสมพระพิมพ์หรือการมีพระพิมพ์ไว้ติดตัวในระยะหลัง ๆ ของผู้เลื่อมใสนิกายมหายานนี้ จึงมุ่งไปทางพุทธานุภาพดังกล่าวซึ่งมีกำเนิดสืบสานมานานแล้ว
2.3 สะสมไว้เพื่อการศึกษาทางโบราณคดีและสกุลศิลปะ การสะสมพระพิมพ์ของบุคคลกลุ่มนี้ มุ่งสืบสาวเรื่องราวเบื้องหลังของการสร้างพระพิมพ์ ที่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกการสร้างไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้คนรุ่นหลังได้ทราบความเป็นมาของพระพิมพ์ที่ค้นพบ คนกลุ่มนี้จึงต้องใช้วิชาความรู้จากหลายสาขามาศึกษา – วิจัยค้นคว้าหาเหตุผลเอง โดยใช้หลักวิชาความรู้ที่ตนศึกษามา ใครมีความรู้และประสบการณ์มามากน้อยเพียงใด ก็จะเกิดผลต่อส่วนตัวและส่วนรวม ที่จะทำให้ทราบความจริงเบื้องหลังของพระพิมพ์ได้อย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงในอดีต ดังที่ปรากฏเป็นหลักฐานเอกสารอธิบายสรุปผลให้ทราบกันในปัจจุบัน
นักสะสมเพื่อการศึกษาทางโบราณคดีและทางสกุลศิลปะนี้มีทั้งนักศึกษา นักวิชาการ ทั้งในและต่างประเทศหลายชาติ ได้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยกันเป็นจำนวนมาก แต่ที่ปรากฏแพร่หลายในเชิงวิชาการและมีคุณค่าทางการศึกษา (Educational values) ที่แท้จริงได้แก่ “ตำนานพระพิมพ์” ของศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดซ์ ซี่งได้เขียนและเรียบเรียงขึ้นไว้เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว
ผลของการศึกษาค้นคว้าและวิจัยของนักสะสมพระพิมพ์เพื่อการศึกษาทางโบราณคดี และสกุลศิลปะนี้ ได้ให้ประโยชน์ต่อคุณค่าทางการศึกษา (Educational values) ทางโบราณคดี (Archaeological evidence) ที่ดำเนินการสอดคล้องกับความเป็นจริงได้ตามหลักการของวิทยาศาสตร์
จากแหล่ง “ตลาดพระ” ที่สำคัญ ๆ ตามจังหวัดต่าง ๆ ถือว่าเป็นแหล่งสำคัญในการค้นหาหลักฐานทางโบราณคดี ถึงแม้พระพิมพ์บางองค์ ผู้ขายปกปิดไม่ยอมเปิดเผยแหล่งที่ขุดพบมา เนื่องจากเป็นการผิดกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้มีความรู้ผู้ศึกษาค้นคว้าประเภทที่กล่าวมานี้ จะสามารถทราบเรื่องราวทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ได้ ทั้งยังสามารถคาดคะเนอายุ (Dating) แม้กระทั่งทราบว่าเป็นสกุลศิลปะใด อาทิเช่น ศิลปะการสร้างแบบอินเดีย (Indian Art School) หรือสกุลศิลปะพื้นเมือง ซึ่งส่งผลให้มีอิทธิพลในรูปแบบการสร้างพระพิมพ์ได้จากการอ่านศิลปะทางประติมากรรมนั้น ๆ และความรู้ที่ได้รับนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาส่วนรวมอย่างมหาศาล
2.4 สะสมไว้เพื่อการธุรกิจ นักการค้าผู้สะสมแลกเปลี่ยนและซื้อหา เพื่อนำพระพิมพ์มาแลกเปลี่ยนให้เช่าบูชาเป็นธุรกิจ ปัจจุบันนี้แพร่หลายมากในร้านค้าของเก่า และ “ตลาดพระ” ศูนย์พระเครื่องทั่วไปอย่างแพร่หลาย หรือแม้แต่พิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคล (Private Collections)
การประกอบธุรกิจพระพิมพ์นี้มีทั้งคุณและโทษ ในแง่ของประโยชนาการให้คุณค่า พระพิมพ์ส่งผลต่อความสนใจทำนุบำรุงรักษาไว้ ทั้งยังช่วยเผยแพร่ให้ประชาชนโดยทั่วไปมีโอกาสจะได้พระพิมพ์ไว้กราบไหว้บูชา (ทั้งฝ่ายพุทธหินยานและมหายาน) ลำพังผู้ที่สนใจต้องการได้พระพิมพ์มาบูชา ไม่สามารถจะหามาได้ด้วยตนเอง จึงต้องเช่าบูชา (ซื้อหา) มาจากผู้ที่สะสมไว้เพื่อธุรกิจ พระพิมพ์ที่มีผู้นิยม ทั้งที่มีศิลปะการสร้างสวยงาม รวมทั้งที่มีอาถรรพณ์จากพระเวทย์วิทยาคาถาจากพระคณาจารย์ผู้เข้มขลังทั้งหลายที่ได้ทำพิธีปลุกเสกไว้แล้วปรากฏผล นับเป็นเรื่องมีมาช้านานและได้รับการเก็บบำรุงรักษาไว้ เพราะเห็นคุณค่าจากกลุ่มผู้สะสมทางธุรกิจนี้ชี้นำ อันเป็นที่มาของการช่วยอนุรักษ์ในรูปแบบหนึ่งโดยมีมูลค่าทางสังคมเป็นปัจจัยกระตุ้น
พระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในสมัยที่นิกายมนตรยานแพร่หลายไปทั่วช่วงระยะหลัง ๆ ราวประมาณตั้งแต่ พ.ศ. 1600 เป็นต้นมา ถึงประมาณ พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นระยะที่นิกายมนตรยาน มุ่งในการบรรจุสรรพอาถรรพณ์วิชาทั้งหลายที่ผู้เรืองพระเวทย์วิทยาคมปลุกเสกบรรจุลงในพระพิมพ์ต่าง ๆ เหล่านี้ มีเกิดขึ้นทั่วทุกภาคในดินแดนสุวรรณภูมิ ทั้งยังเป็นที่นิยมในการเก็บสะสมแลกเปลี่ยนกันแพร่หลายนับแต่อดีตเจริญรุ่งเรือง กระทั่งมีการรวมตัวกันเป็นสังคมวงการพระจนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นการดีสำหรับผู้ที่สนใจสะสมพระพิมพ์กลุ่มนี้ไม่ว่าเพื่อบูชาติดตัวหรือเป็นทรัพย์สมบัติอันทรงคุณค่าต่อไป ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงรักษาไว้ในอีกวิถีทางหนึ่งเช่นกัน
ส่วนการสร้างสรรค์พระพุทธรูปในแถบดินแดนสุวรรณภูมิ เริ่มต้นด้วยคลื่นพุทธศาสนาที่ 2 ประมาณ พ.ศ. 600
เป็นต้นมา ทุกคลื่นที่เกิดการเคลื่อนไหวในนิกายสำคัญของพุทธศาสนามหายานจากอินเดีย ได้ส่งผลต่อการสร้างพระพิมพ์ที่สอดคล้องกับสกุลศิลปะอินเดีย ในแต่ละสกุลศิลปะ จนกระทั่งจบสิ้นสกุลศิลปะอินเดียลงด้วยการสูญเสียอิสรภาพแก่พวกอิสลามที่แคว้นวิชัยนคร เมื่อ พ.ศ. 2108 แล้ว คลื่นพุทธศาสนาจากอินเดียและสกุลศิลปะของอินเดียจึงยุติลงในแถบดินแดนสุวรรณภูมิเฉพาะพื้นที่ในส่วนประเทศไทย ต่อจากนั้นก็เป็นช่วงของพระคณาจารย์โบราณของไทยซึ่งรวมถึงชาติอื่น ๆ อีก ที่ได้หนภัยสงครามมาอยู่ร่วมกันในพื้นที่ภูมิ ประเทศไทยก็ได้ทำการสร้างพระพิมพ์ต่าง ๆ ตกทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้
ฉะนั้นการศึกษาเรื่องราวทางโบราณคดี ประวัติเบื้องหลังของพระพิมพ์ สามารถศึกษาหาดูหลักฐานได้จากผู้ที่สะสมไว้ หรือจากการเช่าบูชาโดยทางส่วนตัว อันถือเป็นการรักษาคุณค่าที่สำคัญแก่โบราณวัตถุทางพุทธศาสนา ให้มีผู้หวงแหน สืบทอด ไม่ปล่อยทิ้งละเลย เสื่อมสลาย สูญหายไปกับธรรมชาติ หรือจากความเจริญของบ้านเมืองที่คาดไม่ถึง ดังนั้นการสะสมเพื่อการธุรกิจมีข้อดี คือเป็นวิธีสงวนรักษา และสืบทอดพระพิมพ์หรือพระเครื่องประการหนึ่ง ได้ตกทอดมีมาให้ได้เห็น เรียนรู้และศึกษากันจนถึงทุกวันนี้
ส่วนข้อเสียนั้นที่เห็นชัดเจนก็คือการทำลายเจดีย์และพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่บรรจุพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่บรรจุพระพิมพ์ไว้ภายในองค์พระ และในกรุใต้ฐานพระ ตลอดจนเจดีย์ โบสถ์ วิหาร แม้แต่กำแพงแก้วของโบสถ์วิหาร ล้วนแต่ถูกขุดทำลายเพื่อจะได้พระพิมพ์ออกมา ถือว่าเป็นการทำลายหลักฐานประวัติศาสตร์ของคลื่นพุทธศาสนา ทำลาย ปูชนียสถานอันเก่าแก่ ซึ่งเรื่องนี้หากได้รับการควบคุมดูแลที่ดีและถูกต้องตามหลักวิชาการก็จะไม่ก่อเกิดความเสียหาย ดังที่เป็นมาในอดีต
ส่วนมูลเหตุปัจจัยของการสร้างพระพิมพ์หรือพระเครื่อง สืบเนื่องมาจาก 3 สาเหตุคือ
1. เพื่อการสืบทอดพระพุทธศาสนา ด้วยความศรัทธา ซึ่งจะมีรูปแบบหรือพุทธลักษณะตามพุทธประวัติ
2. เพื่ออุทิศส่วนกุศล ด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์เมื่อตายไป จะต้องเดินทางไปสู่ภพภูมิอื่นที่มิเหมือนกับที่ซึ่งเคยอยู่มา การมีพระติดตัวไปย่อมนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล ทั้งช่วยปกป้องคุ้มครองภยันตรายต่าง ๆ ดังนั้นจงมักปรากฏพบโครงกระดูกอยู่รวมกับพระตามกรุต่าง ๆ และด้วยความเชื่อนี้เองที่นำมาซึ่งประเพณีที่ให้พระภิกษุเดินนำหน้าผู้ตาย เวลาต้องการเคลื่อนย้าย
3. เพื่ออาราธนาคุณพระพุทธานุภาพให้บังเกิดผลกับตัว หรือที่เรียกกันให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า “สร้างเพื่อไว้ใช้” การสร้างพระตามคตินี้จะมีการปลุกเสก ลงพระเวทย์วิทยาคม ให้บรรจุลงในพระพิมพ์หรือพระเครื่อง นับเป็นเรื่องที่มีมาแต่โบราณ ดั่งเช่นจารึกซึ่งปรากฏอยู่ในแผ่นลานเงินลานทอง ที่พบในกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้บอกถึงกรรมวิธีการสร้างพระและอานุภาพของพระพิมพ์หรือพระเครื่องนั้นเอาไว้อย่างชัดเจน เป็นต้น พระพิมพ์หรือพระเครื่องที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ที่กล่าวมานี้ ได้แก่ พระขุนแผนเคลือบ พระสมเด็จวัดระฆัง ฯลฯ
การสร้างพระโดยมากจะมีเป้าหมายของจำนวนการสร้างที่ 84,000 องค์ เท่าพระธรรมขันธ์ หากแต่ละสร้างได้ครบหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่มิอาจกำหนดได้
ในปัจจุบันได้มีมูลเหตุของการสร้างพระขึ้นมาอีกในรูปแบบเพื่อหารายได้จากการบูชาไปก่อเกิดสาธารณประโยชน์มากมายทั้งในพระศาสนาและกิจกรรมต่าง ๆ ของสังคม โดยรวมเอามูลเหตุของการสร้างกุสล การสืบพระศาสนา และทำการปลุกเสกบรรจุพระพุทธนุภาพเพื่อไว้ใช้ติดตัว ซึ่งมูลเหตุการสร้างนี้กำลังได้รับความนิยมและแผ่ขยายเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น