วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประวัติและความเป็นมา พระกรุ วัดสำปะซิว จังหวัดสุพรรณบุรี

ประวัติและความเป็นมา พระกรุ วัดสำปะซิว จังหวัดสุพรรณบุรี





เมืองสุพรรณบุรีเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีชุมชนอยู่อาศัยต่อเนื่องมาเป็นเวลาช้านานแต่โบราณกาล มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังเสียกรุงในปีพ.ศ.2310 ก็ถูกปล่อยให้รกร้างอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาจนถึงในปีพ.ศ.2379 สุนทรภู่ กวีเอกของไทย ได้เดินทางโดยทางน้ำมาสุพรรณบุรี เมื่อพบเห็นอะไรก็ได้จดบันทึกเป็นโคลงสี่สุภาพไว้คือ "โคลงนิราศเมืองสุพรรณ" ในตอนหนึ่งผ่านย่านสำปะซิว ก็ได้ประพันธ์ไว้ดังนี้

สำปะทิว งิ้วง้าวสะล้าง กร่างไกร

ถิ่นท่าป่ารำไร ไร่ฝ่าย

เจ๊กอยู่หมู่มอญไทย ทำถั่ว รั้วเอย

ปลูกผักฟักกล้วยกล้าย เกลื่อนทั่วทางขจร

จากนิราศเมืองสุพรรณ ก็ทำให้พอนึกภาพสำปะทิวในสมัยนั้นได้พอสมควร สำปะทิวก็คือ สำปะซิว และวัดสำปะซิวนี้ก็เป็นชื่อเรียกพระกรุ กรุหนึ่งว่าพระกรุวัดสำปะซิว ซึ่งความเป็นจริงการพบพระกรุนี้ไม่ได้พบภายในวัดสำปะซิว แต่มีผู้ขุดพบพระเครื่องที่ใกล้ๆ กับวัดสำปะซิว ผู้ที่พบก็คือ

นายดี มาแสง บ้านอยู่ไปทางทิศเหนือของวัดสำปะซิว ได้ขุดดินบริเวณบ้านตรงริมรั้วบ้านของตัวเอง และบังเอิญไปพบ พระเครื่องเนื้อดินเผาเข้าจำนวนหนึ่ง

ในส่วนทางด้านทิศใต้ของวัดก็เคยมี ผู้ขุดพบพระบูชาสมัยลพบุรีอยู่หลายครั้งหลายหนเช่นกัน สันนิษฐานว่าบริเวณนี้น่าจะเคยเป็นแหล่งชุมชนสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน

สาเหตุที่เรียกพระกรุเนื้อดินกรุนี้ว่า "กรุวัดสำปะซิว" ก็เนื่องจากหลังจากที่พบพระเครื่องดังกล่าว และมีการนำพระออกมาสู่นักสะสมและถามถึงที่มา ก็มักจะตอบว่า "พระกรุวัดสำปะซิว" ซึ่งเป็นย่านที่มาของการพบพระเครื่อง พระเครื่องของกรุนี้จึงเป็นชื่อเรียกกันต่อๆ มาจนทุกวันนี้

พระเครื่องที่พบในครั้งนั้นมีพระพิมพ์ต่างๆ คือ พระพิมพ์ซุ้มนครโกษา พระพิมพ์ท่ามะปราง หรือบางท่านในสมัยก่อนเรียกว่า นางสำปะซิวก็มี พระพิมพ์นารายณ์ทรงปืน พระพิมพ์ซุ้มปรางค์ เป็นต้น พระเครื่องทั้งหมดที่พบเป็นพระเนื้อดินเผา ประเภทเนื้อหยาบมักปรากฏเม็ดกรวดปะปนอยู่ในเนื้อพระ เป็นประเภทเนื้อแกร่ง สีที่พบมักจะเป็นสีอิฐ สีนวลๆ และสีดำซึ่งเป็นสีที่พบน้อยกว่าสีอื่นๆ

พระกรุวัดสำปะซิวที่พบเห็นกันมากหน่อย และเป็นพิมพ์นิยมของกรุนี้ก็คือ พิมพ์ซุ้มนครโกษา ลักษณะคล้ายๆ กับพระซุ้มนครโกษาของลพบุรี สันนิษฐานว่าคงสร้างล้อแบบศิลปะลพบุรี ส่วนอีกพิมพ์หนึ่งที่นิยมก็คือพิมพ์ท่ามะปราง พุทธลักษณะก็คล้ายกับพระท่ามะปรางของทางจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย และกำแพงเพชร แต่จะมีพุทธลักษณะต้อๆ กว่าของกรุอื่นๆ ส่วนมากมักจะมีปีกกว้างออกมา ส่วนพิมพ์ซุ้มปรางค์และพิมพ์นารายณ์ทรงปืนก็สร้างล้อศิลปะลพบุรีเช่นกัน พิจารณาศิลปะโดยรวมของพระกรุนี้สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในตอนปลายสมัยสุโขทัยต่ออยุธยาตอนต้น

ในปัจจุบันก็ไม่ค่อยได้พบเห็นพระกรุนี้มากนัก นับวันค่อนข้างจะหายากพอสมควรครับ พุทธคุณเด่นทางด้านแคล้ว คลาด คงกระพัน สนนราคาก็ยังไม่สูงนัก แต่ก็ไม่ค่อยพบเห็นกันนักครับ ในวันนี้ผมจึงได้นำรูปพระกรุสำปะซิว พิมพ์ซุ้มนครโกษาและพิมพ์ท่ามะปรางมาให้ชมกันครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น