ผมได้แนวคิดในการคำนวณค่าโง่ ที่ง่ายและชัดเจนขึ้นกว่าเดิม จากการไปเรียนรู้ในตลาดพระเครื่อง ที่มีระบบการ “จ่ายค่าโง่” และ “ค่าความรู้” ที่ชัดเจน และ ไม่จำกัดวงเงิน
ผมเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า “ค่าโง่” มาใน ๒ บทบาทของชีวิตผม คือ
1. ตอนไปหัดเล่นไพ่ดัมมี่ ที่มีกติกาว่า ใครทิ้งไพ่ให้คนอื่น “น็อค” ต้องเสียค่าโง่ เป็นการหักคะแนนที่ตัวเองได้ออก หรือ ถ้าไม่มีก็ติดลบ
2. ตอนไปทำโครงการจัดการความรู้ กับท่านครูบาสุทธินันท์ สมัยสัก ๗ ปีก่อน ที่ท่านชอบใช้คำกินใจว่า “ถ้าเราไม่รู้ เราก็เสียค่าโง่นะซิ”
แต่ผมก็กล้าสารภาพว่า
ผมไม่ได้ซึ้งกับคำนี้มากนัก ก็พอรู้ และเข้าใจบ้างเท่านั้น
และผมก็เชื่อว่าในสังคมไทยเราก็ไม่ค่อยซึ้งกับคำว่า “ค่าโง่” เท่าไหร่ เช่นกัน เพราะผมยังรู้สึกว่าเรายังยินดีจ่ายค่าโง่กันทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ทุกสมัยเลือกตั้ง ทุกยุค ทุกสมัย โดยไม่เห็นมีใครคิดแก้ไขให้เป็นรูปธรรม
ว่ากันง่ายๆ ชัดๆ ตั้งแต่
การบริโภคสารเคมี สารเสพติด ในชีวิตประจำวัน จนทำให้เสียค่าใช้จ่ายรายวัน (ที่ไม่จำเป็น) และเกิดปัญหาทางสุขภาพ ค่ารักษาอีกมากมาย หรืออาจทำให้ชีวิตสั้นลง เหล่านี้ก็เป็นค่าโง่ที่พวกเรายินดีจ่าย แถมมาบอกว่า เป็นสิทธิส่วนบุคคลเสียอีก
แต่ผมก็สงสัยว่า ทำไมการฆ่าตัวตาย ไม่เป็นสิทธิส่วนบุคคล กลับถือว่าเป็นเรื่องผิดไปซะอีก
เรายังมีการ “เสียค่าโง่” อีกมากมาย ที่ท่านลองคิดเองก็แล้วกัน ว่าตลอดชีวิตของเรา ได้จ่ายค่าโง่ เป็นมูลค่าเท่าไหร่ ทั้งด้านส่วนตัวและส่วนรวม
วันนี้ ผมได้แนวคิดในการคำนวณค่าโง่ ที่ง่ายและชัดเจนขึ้นกว่าเดิม จากการไปเรียนรู้ในตลาดพระเครื่อง ที่มีระบบการ “จ่ายค่าโง่” และ “ค่าความรู้” ที่ชัดเจน และ ไม่จำกัดวงเงิน
อันเนื่องมาจากมูลค่าและราคาพระเครื่องมีตั้งแต่ไม่กี่บาท จนถึงหลายล้านบาท นั่นเอง
ในระบบตลาดพระเครื่องนั้น ใครก็ตามที่ไม่มีความรู้ จะ “โดน” ยัดพระเครื่องปลอม ที่มีราคาจริงไม่กี่บาท ให้ในราคาพระเครื่องจริง ตั้งแต่หลักล้าน หลักแสน หลักหมื่น หรือเดาะๆ ก็หลักพัน หลักร้อย ตามระดับความสามารถทางเศรษฐกิจของผู้ซื้อ
จึงอาจพบว่าคนที่มีเงินมาก มีโอกาสเก็บพระปลอมไว้เต็มบ้าน
นี่เรียกว่า
จ่ายเท่าไหร่ ก็เสียค่าโง่เท่านั้น แบบเต็มๆ
(ผมได้ข้อมูลนี้จากผู้มีอาชีพให้เช่าพระที่ขอนแก่น)
หรืออย่างดี ก็ได้พระแท้ราคาปลาย (หลักล้าน หลักแสน หลักหมื่น) ตามแต่ผู้ให้เช่าจะกำหนด
เพราะผู้ให้เช่าเขารู้ว่าคนที่มีเงินจะไม่ค่อยนำออกมาปล่อยคืน จึงไม่มีโอกาสรู้ราคาจริง
ที่สำคัญคนมีเงินเหล่านั้น อาจไม่เคยทราบเลยว่าตลาดพระจริงๆเป็นอย่างไร เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ในส่วนนี้ ด้วยเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่(หรือ แม้รู้ก็กล้ายอมจ่ายค่าโง่ เพราะตัวเองมีเงิน แต่ความรู้ไม่พอ)
เมื่อพัฒนาความรู้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง การจ่ายค่าโง่ก็จะลดลง เหลือเพียง ระดับหลักพัน หรือหลักร้อย กับ พระแท้ ราคาเกินจริงของระบบตลาด
ทั้งนี้เพราะ
ในระบบตลาดพระจะมีราคามาตรฐานที่ผู้เข้ามาใหม่ จะยังไม่ทราบ ทำให้ต้องจ่ายค่าโง่ในส่วนนี้ แต่ก็ไม่มากนัก เช่นราคาจริง สองร้อย เราอาจต้องจ่าย ห้าร้อยหรือเจ็ดร้อย เป็นต้น
แต่เมื่อมีความรู้มากขึ้น ก็จะเริ่มได้รับ “รางวัล” และ “ผลตอบแทน” มากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ
ว่าพระเครื่ององค์ใด(ที่แท้ๆเท่านั้น) ราคาควรเป็นเท่าใด ในตลาดระดับไหน
โดยการใช้ความรู้ดังกล่าว ในตลาดพระเขาเรียกกันว่า
“เซียนพระ”
ที่จะสามารถหาพระแท้ในราคาของปลอมได้
เช่นพระที่มีราคาปลายที่หลักล้าน หรือ หลักแสน อาจหาซื้อได้ในราคาหลักสิบ (สามสิบ ห้าสิบ) หรือไม่เกินหลักร้อยต้นๆ (สอง หรือสามร้อย)
จึงสามารถทำให้
ผู้มีความรู้สามารถเก็บสะสมพระเครื่องที่มีมูลค่าหลักล้าน ได้เพียงต้นทุนหลักสิบ หลักร้อยเท่านั้น
ในทางกลับกัน ผู้ไม่มีความรู้ ก็อาจเก็บสะสมพระปลอมที่ไม่มีมูลค่า หรือมีก็ไม่เกินหลักสิบ แต่ต้องจ่ายในราคาหลักล้าน หลักแสน หรือ หลักหมื่นได้เช่นกัน
นี่คือ ผลตอบแทนที่ชัดมากในการใช้ความรู้ และการเสียค่าโง่จากความไม่รู้ครับ
ผมเห็นว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนดี ก็เลยนำมาฝากครับ
เป็นอุทาหรณ์ว่า ในชีวิตจริงเราก็จะพบลักษณะแบบเดียวกัน แต่อาจไม่สามารถตีมูลค่าได้ชัดๆ เหมือนกับการใช้ความรู้ และเสียค่าโง่ในตลาดพระเครื่องครับ
หวังว่าตัวอย่างชัดๆนี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านนะครับ
และหันมาใช้ความรู้ที่ถูกต้อง เป็นจริง เป็นธรรมชาตินำทางในการดำรงชีวิตดีกว่าครับ
อย่ายอมเสียค่าโง่ต่อไปอีกเลยครับ
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ดร. แสวง รวยสูงเนิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น