ต้องเข้าใจแหล่งที่มาของพระ โดยดูจากพิมพ์พระ และวัสดุที่ใช้ทำพระ โดยเฉพาะพระเนื้อดิน จะแยกแยะโดยหลักการทางธรณีวิทยาได้ง่ายกว่า
ในระยะหลังจากประมาณ ครึ่งปีแรกของ ๒๕๕๒ ที่ผ่านมาของการเรียนรู้ในตลาดพระเครื่อง ผมก็ได้เริ่มเรียนรู้ จากการปรับใช้หลักวิชาการที่ผมเคยเรียนมาสมัยปริญญาตรี ในวิชา ธรณีวิทยา ที่เรียนเกี่ยวกับ วัฏจักรของดิน หิน แร่ ชนิดต่างๆ ของประเทศไทยมาใช้ในการแยกแยะพระเครื่องแท้ ออกจากพระปลอม ได้ดังนี้
· สิ่งแรกสุดต้องเข้าใจแหล่งที่มาของพระ โดยดูจากพิมพ์พระ และวัสดุที่ใช้ทำพระ โดยเฉพาะพระเนื้อดิน จะแยกได้ง่าย (แต่เนื้อโลหะชนิดต่างๆ ตั้งแต่สำริด ทองคำ เงิน ตะกั่ว และโลหะผสมต่างๆนั้น ต้องอาศัยหลักของการแปรรูปของโลหะตามสภาพปัจจัยแวดล้อม และเวลาต่างๆกัน แทน ที่ผมยังศึกษาน้อย ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะพระของปลอมเขาก็เลียนแบบธรรมชาติ ได้ใกล้เคียงมาก)
o พระอีสานส่วนใหญ่ จะใช้ดินที่เผาแล้วแกร่งแบบศิลาแลง จึงมีลักษณะเหมือนหินลูกรัง แกร่ง และแน่น ถ้าองค์ไหนยุ่ยๆ หลวมๆ มีโอกาสปลอมสูงมาก
o พระลำพูน มักใช้ดินขาวนวล ละเอียด อาจมีสีออกไปทางน้ำตาลบ้าง แต่ไม่มากนัก และยังมีสีที่แปรตามอุณหภูมิการเผา
o พระกำแพงเพชร จะใช้เนื้อดินน้ำตาลแดงละเอียด ปนกับแร่เหล็กที่ออกแดงเข้ม หรือน้ำตาลแดงเข้ม
o พระสุโขทัย มีสองประเภทใหญ่ๆ คือ ดินดำ และดินแดงนวลๆ
o พระภาคกลาง จะใช้ดินเหนียวดำ หรือน้ำตาลนวล หรือแดงนวล หรือขาวนวล บางประเภท ใช้ทรายขาวหยาบๆปนเพื่อทำให้พระแกร่งทนการสึกกร่อน เช่น พระบ้านกร่าง พระนางพญา ต่างๆ
o พระภาคใต้ จะใช้ดินเหนียวเนื้อหยาบๆ สีน้ำตาลอ่อน ออกนวลๆ เมื่ออายุนานๆ จะร่วนยุ่ยเป็นส่วนใหญ่ เช่น พระกรุพนังตรา ยกเว้นบางเนื้อที่เป็นเนื้อแกร่งขาวนวลแบบเซรามิค เช่น กลุ่มพระท่าเรือ
· ขั้นที่สองต้องทราบอายุโดยประมาณ ลักษณะของการเก็บ หรือการบรรจุกรุ และสภาพแวดล้อม ที่จะทำให้สามารถคาดคะเนความรุนแรงของการผุพังของผิว และเนื้อพระ
o กรุในที่แห้ง เช่นในเจดีย์สูง โบสถ์ หรือที่ดอน จะผุช้ากว่าในที่ลุ่ม น้ำแช่ หรือความชื้นสูง อาจต้องใช้เวลากว่าพันปี จึงจะผุเป็นชั้นหนาทั้งองค์พระ
o กรุในที่ลุ่ม หรือ เขตความชื้นสูงจะผุพังเร็ว มีชั้นผุหนากว่าในอายุเดียวกัน
o เขตฝนชุกอาจมีชั้นลูกรัง หรือหินปูนเกาะที่ผิว ทำให้ผุช้าลง
o พระเนื้อผง เนื้อว่านที่ไม่บรรจุกรุ ต้องพิจารณาตามอายุอย่างเดียว แต่มักใช้เวลาไม่นานเพียงร้อยสองร้อยปีก็ผุพังได้มาก
· ต้องดูลักษณะการกร่อนของผิว ทั้งโดยธรรมชาติ (ที่สม่ำเสมอทั้งองค์) และโดยการใช้ของเจ้าของที่ผ่านมา (ที่เกิดเฉพาะผิวที่นูนออกมา) การเก็บรักษา และการทำความสะอาด ที่จะทำให้ผิวพระเปิด (จากการทำความสะอาด) หรือปิด (จากการเคลือบด้วยทอง รัก หรือยางไม้)
เมื่อดูตามลักษณะดังกล่าวแล้ว ก็นำหลักธรณีวิทยามาจับ ก็จะทำให้เข้าใจวิวัฒนาการขององค์พระ ที่
· มีการผุพังของผิว แยกออกเป็นชั้นต่างๆ ที่เรียกว่า “ผิวพระ” ที่จะมีการผุกร่อน เป็นร่องๆ ขุยๆ หรือเปลี่ยนสีของผิว ส่วนใหญ่จะซีดลงกว่าเดิม หรือกร่อนแบบกะเทาะ ร้าว ยุบตัว หรือการกร่อนหรือหลุดออกของเม็ดทราย(ของปลอมจะใช้ดินแร่ หรือวัสดุสีอ่อนกว่ามาเคลือบตามร่องพระ ที่จะมีผิวเรียบ ไม่ผุยุ่ย)
· เม็ดทรายหรือมวลสารที่แกร่งกว่าเนื้อดินที่เหลือตามผิวก็จะกร่อนมนเรียบ (ของปลอมจะยังคมเฉียบ หรือถ้าใช้เครื่องขัดให้ผิวเรียบ ให้ดูว่ากร่อน แต่มักจะทำได้แต่ผิวนอกสุด ผิวในทำได้ยาก ที่ใช้เรียกพระแท้ว่า “นุ่มหนึบ” และพระปลอมว่า “กระด้าง” มีเหลี่ยมคม ทั้งขอบ มุม และผิวเม็ดทราย)
· มีการเคลือบของวัสดุธรรมชาติ ฝุ่นละออง ที่เรียกว่า “คราบกรุ” แบบต่างๆ ตามแหล่งของพื้นที่ หรือ รารัก สีดำปื้นๆ (พระปลอมจะใช้วัสดุเลียนแบบทา หรือพ่นทับผิว แล้วขัดให้เหลือแต่ในซอก หลอกให้เข้าใจว่าเป็นคราบกรุ แต่มักขนานนามว่า “คราบทำ” หรือ “คราบฝีมือ”)
จากประเด็นดังกล่าวข้างต้น ก็สามารถสร้างภาพจินตนาการถึง
· การผุพังตามธรรมชาติ ทั้งพิกัดบน ถึงพิกัดล่างที่รุนแรงมาก ถึงรุนแรงน้อย
o พิจารณาตามชนิดแร่ และความแกร่งของมวลสารองค์ประกอบ ตามแหล่งที่มา
· ดูความกร่อนธรรมชาติ และจากการใช้พระ ที่ทำให้เกิดความ “สมบูรณ์” ขององค์พระ ในระดับต่างๆ
ก็จะทำให้ทราบว่า พระแท้น่าจะมีลักษณะอย่างไร
· คราบผุสีอะไร ร่วน แตกระแหง หรือร้าว หรือยุ่ย หรือหนาขนาดไหน
· คราบกรุควรเป็นอย่างไร การเกิดชั้น เกิดสี และการแตกร้าวของคราบ
· มีประวัติการเคลือบทอง เงิน รัก หรือยางไม้ หรือไม่ ที่ต้องดูความเก่า การแตกระแหง และการหลุดร่วงตามธรรมชาติอย่างไร
· ผิวใน หรือเนื้อเดิมที่เหลือเปิดอยู่ ควรมีลักษณะแบบไหน สีอะไร มีมวลสารตรงตามประเภท และรุ่นพระ ทั้งในเนื้อเดิม และส่วนที่ผุพังออกมา
· มีขนาด ความหนา รูปร่าง พิมพ์ ตำหนิ และ “จุดตาย” ตรงตามพุทธศิลป์ของรุ่น
แค่นี้ก็จะสามารถแยกพระแท้ออกจากพระปลอม ที่ขนานนามว่า “พระโรงงาน” หรือ “พระฝีมือ” ได้ระดับหนึ่งแล้ว
แม้จะใช้เนื้อวัสดุเดิม หรือเก่ามาแกะ ก็จะทำคราบผุ สารเคลือบ และคราบกรุ โดยการโปะ ขัด ทา หยด อบความร้อนแบต่างๆ แช่กรด แช่ปูน แช่ด่าง แช่เกลือ หรือ สารประกอบต่างๆ ได้ไม่เหมือนของจริง (แต่มวลสารที่แกนในจะเหมือนกัน)
นักปลอมพระมืออาชีพนี่เขามีความสามารถสูง และใช้พยายามกันมากระดับ "ปาดคอเซียน" ได้จริงๆ ที่ทำให้ต้องจำจุดตายของพิมพ์ ที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติและทำอย่างไรก็ไม่เหมือน เพื่อลดอัตราการเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด
นี่คือการปรับใช้ความรู้ที่ผมใช้ครับ
ทำให้พอจะเริ่มแยกพระแท้ออกจากพระปลอม และแยกพระปลอมออกจากพระแท้ได้ในระดับพอจะเอาตัวรอดได้เกินครึ่งแล้วครับ
มือใหม่ที่มีอายุการเรียนน้อยกว่าผม (หลังปลายปี ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา-ยังไม่กล้าแนะนำระดับเซียนหรอกครับ)
ที่สนใจนำไปปรับใช้หรือถามมาก็ได้ ผมจะพยายามตอบแบบความรู้เบื้องต้น เท่าที่พอรู้ครับ
เพราะ ที่แน่ๆ ผมยังต้องถามเซียนใหญ่ หรือเซียนทะลุฟ้า ที่ปรึกษาของผม เป็นด่านตรวจสอบอีกครั้ง เสมอไป แน่นอนกว่า ครับ
แต่ ขอเตือนไว้นะครับ
เมื่อจะยืมสายตาเซียนนั้น ขอให้ระวังเซียน(บางคน)ที่คอยทุบเรา ที่มีมากเลยครับ
ไม่มีใคร ที่ไหน สังคมใดที่จะดีทั้งหมด หรือเลวทั้งหมดหรอกครับ
ดังนั้น
พึ่งตนเองแน่นอนกว่าครับ
สวัสดีครับ
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ดร. แสวง รวยสูงเนิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น