วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พระเครื่องเก๊ ตัวชี้วัดเก๊ นักวิชาการเก๊ และผลกระทบ (Impact factors) เก๊ มีไว้ทำอะไร

ฝีมือคนสมัยนี้สูงมาก เขาจะทำตามตัวชี้วัดได้ทุกข้อ แต่ปลอมทั้งหมด และความรู้ที่สรุปแบบง่ายๆ สั้นๆ ในตำราจึงใช้แทบไม่ได้อีกต่อไป
หลังจากผมตะลุยเรียนรู้ในตลาดพระเครื่องมาระยะหนึ่ง ทำให้ผมได้เรียนรู้ถึงตัวชี้วัดต่างๆ ที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์ ในการแยกของจริง กับของปลอม

อันเนื่องมาจาก ผมได้พบตัวชี้วัดปลอมๆ (ที่นำมาจากของแท้) มากมาย จนผู้เรียนมือใหม่(อย่างผม) ต้องพบกับอาการมึนงงแล้ว มึนงงอีกอย่างแน่นอน

เพราะ ฝีมือคนสมัยนี้สูงมาก เขาจะทำตามตัวชี้วัดได้ทุกข้อ แต่ปลอมทั้งหมด

ทำให้ผมได้พระเครื่องปลอมๆ มาไว้จำนวนหนึ่ง ที่กำลังหาวิธีคัดออกด้วยความรู้ใหม่ ที่ไม่มีในตำรา

เพราะความรู้ในตำรานั้น นักปลอมพระ หรืออุตสาหกรรมการผลิตพระปลอม เขารู้และหาวิธี “ทำปลอมให้เหมือน” ได้หมดแล้ว

ดังนั้น ความรู้ที่สรุปแบบง่ายๆ สั้นๆ ในตำราจึงใช้แทบไม่ได้อีกต่อไป

ต้องศึกษาเพิ่มเติม หาบริบท และคำอธิบาย จึงจะไม่หลงทาง

วิธีการก็คือ

·        ต้องไปทบทวนวรรณกรรมใหม่ ที่ไปที่มาของแต่ละเรื่อง แล้วสร้างข้อสรุปใหม่
·        พยายามแยกความรู้ที่ได้ออกจากความรู้เดิม และจัดระบบความรู้เดิมให้ชัดเจนและใช้งานได้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะที่นักปลอมพระยังทำได้ไม่ค่อยเหมือน
·        พยายามสร้างองค์ความรู้ใหม่ ที่นักผลิตพระปลอม ในอุตสาหกรรมการผลิตพระเครื่องยังไม่นำมาใช้ (หรือยังไม่รู้???)

พอจัดการได้ในระดับนี้ ผมก็แบ่งที่เก็บพระเครื่องไว้สามแหล่ง

1.    ของแท้ มั่นใจเกิน ๙๐% เก็บรักษาอย่างดี
2.    ของยังสงสัย ๕๐/๕๐ หรือไม่เกิน ๗๐/๓๐ เก็บไว้ตรวจสอบ
3.    ของปลอม แน่นอน เตรียมเก็บเข้ากรุ อีกสักพันปี ก็จะเป็นของโบราณได้เหมือนกัน

ประสบการณ์นี้ทำให้ผมย้อนกลับมาคิดถึงสังคมวิชาการวิจัยและพัฒนาที่ผมทำงานอยู่

ที่เรามีการกำหนดตัวชี้วัดทางวิชาการต่างๆ มากมาย ที่ทำให้มีนักอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษเปื้อนหมึก รู้กันหมดแล้ว และทำ(ปลอม)ได้ครบตามนั้นแบบไม่มีขาดตกบกพร่อง

 แบบเดียวกับนักผลิตพระปลอมออกมาขาย

มีตัวชี้วัดครบหมด ทุกเรื่อง ทุกประเด็น จนคนที่ทำงานจริงต้องยอมแพ้

(ภาษาพระเครื่องเขาว่า "สวยกว่าของแท้")

แต่ใครๆ ที่มีพอจะมีความรู้สักหน่อย ก็รู้ได้ทันทีว่า มามาดนี้ “ปลอมแน่ๆ” แต่เราก็ปล่อยๆไป ไม่เห็นมีใครว่าอะไร

แล้วก็ผ่านการประเมินกันเป็นว่าเล่น

เมื่อหลายเดือนก่อนผมได้มีโอกาสคุยกับศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงระดบโลกท่านหนึ่ง ท่านพูดอย่างเปิดอกว่า งานที่ท่านทำมาส่วนใหญ่ “ใช้ประโยชน์ไม่ได้” ท่านใช้คำภาษาอังกฤษว่า เป็นการสร้างขยะ (Garbage)

นี่ก็เป็นสิ่งยืนยันอีกมุมหนึ่งของการใช้ตัวชี้วัดที่ “ดูเหมือนจริง” ในการทำงานและการประเมินผลงาน และพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ

โดยอาศัยตัวชี้วัด ที่ใครๆก็รู้ว่าปลอม

แล้วเราทำไปทำไม

“แค่ขอเงินเดือน หรือค่าตอบแทนขึ้น”

หรือไปอ้างอิงในการทำงานด้านอื่นๆ

(ทั้งๆที่เอาของปลอม ไปแลกเงินจริง ถ้าเอาของปลอมไปขอแลกเงินปลอม จะไม่ว่าสักคำเลยครับ)

นี่คือสิ่งที่ผมได้ยินบ่อยที่สุด

เราจึงมีการตัวชี้วัดต่างๆ เพื่อประเมิน “ผลงาน” ที่ไม่มีผลกระทบอะไร แต่มี Impact factors สูง เนื่องจากตีพิมพ์ในต่างประเทศ

มีใครเคยคิดไหมว่า Impact ที่ว่านั้น มันจริงแค่ไหน ใครอ่าน ใครใช้ ใครได้ประโยชน์ ประโยชน์ที่ว่าคืออะไร ตรงกับที่ตั้งไว้ไหม

ถ้าไม่ตรงก็ควรปรับใหม่เถอะครับ อย่าเก็บไว้เลย

ผิดพลาด แล้วแก้ไข ดีกว่าดันทุรังทำผิดต่อๆกันไปเรื่อยๆ

วันนี้ ผมจึงขอถามง่ายๆ ว่า เมื่อระบบเป็นเช่นนี้

เราจะเก็บพระเครื่องเก๊ ตัวชี้วัดเก๊ นักวิชาการเก๊ และผลกระทบ (Impact factors) เก๊ ไว้ทำอะไร

แยกที่ดีๆมาใช้ ของปลอมก็เก็บเข้ากรุซะ ไม่ดีกว่าหรือครับ

ประเทศไทยเรายิ่งจนๆอยู่ เราจะเลี้ยงนักวิชาการปลอมๆ ด้วยการประเมินผ่านตัวชี้วัดปลอมๆ ให้ได้อะไร

ใครรู้ช่วยตอบหน่อยครับ



บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ดร. แสวง รวยสูงเนิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น