สิ่งที่น่าทึ่งในระบบการพัฒนาความรู้ที่ผมได้จากเรียนรู้ในตลาดพระเครื่อง อีกประการหนึ่งก็คือ เทคโนโลยีโลหะ (Metal technology)
โดยเฉพาะการทำโลหะ “สำริด” ที่มีส่วนผสมของโลหะต่างๆหลากหลายมาก
มีคุณประโยชน์ในการใช้งาน ทั้งความแข็ง ความสวยงาม และคงทน
เช่น
- เหล็กแข็งแต่เป็นสนิมกร่อนง่าย
- เงิน ทอง ผุพังช้า แต่อ่อนนิ่ม
- ทองแดง สังกะสี หลอมง่าย แต่อ่อนนิ่ม
- ตะกั่ว ดีบุกหลอมง่าย หาง่าย แต่นิ่ม
การผสมให้เกิดคุณสมบัติต่างๆ ที่ทนทาน แข็งแรง มีทั้งที่เกิดโดยระบบธรรมชาติ และการพัฒนาการทางความรู้ในแต่ละท้องถิ่น ที่มีความคล้ายคลึง หรือ เหมือนกัน และมีการใช้ประโยชน์หลากหลายมาก
ที่น่าทึ่งในหลายๆมุมมอง
โดยเฉพาะด้าน
- การพัฒนาการของชุมชน
- การพัฒนาการใช้ความรู้ด้านการพัฒนาโลหะให้คงทน ใช้งานได้นาน และ
- การถ่ายทอดความรู้ผ่านชุมชน ผ่านชนเผ่า ผ่านพื้นที่ ผ่านทวีป และผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ทั้งๆที่ ก่อนที่ผมจะเข้ามาศึกษาในตลาดพระเครื่อง ผมมีความรู้ด้านนี้น้อยมาก และยังเข้าใจผิด คิดไปเองว่า “สำริด” เป็นเพียงเทคโนโลยีสมัยโบราณ ที่ไม่ทันสมัย สร้างได้แค่โลหะนิ่มๆ ทำงานที่ต้องการความแข็งมากไม่ได้จนถูกขนานนามว่า “ยุคสำริด” และผมก็เชื่อตามนั้น ที่เรียกได้ว่า “เข้าใจถูกไม่ถึงครึ่ง”
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การสกัดหินสร้างปราสาท ปิรามิด ในสมัยโบราณคงทำได้ยาก หรือไม่ได้เลย
และยังเข้าใจผิดต่อเนื่องมาว่า การพัฒนาเทคโนโลยีต่อๆมา จึงได้พัฒนาโลหะที่มีความแข็งมากขึ้นให้ใช้งานได้มากขึ้น
แต่จากการเรียนรู้ ทำให้ผมได้เข้าใจว่า สำริด ก็คือคำที่เรามาเรียกว่า “นวโลหะ”
และปัจจุบันนิยมเรียกเป็นภาษาต่างชาติว่า “อัลลอย (Alloy)”
เพราะ “สำริด” ประกอบด้วยโลหะหลักๆ อย่างน้อย ๙ ชนิด ที่คาดว่ามี ทองแดง ดีบุก สังกะสี พลวง ตะกั่ว อลูมิเนียม เงิน ทอง และ เหล็ก ที่มีสัดส่วน การผสม และมีความทนทานต่างกัน แล้วแต่ระดับความรู้ ทรัพยากร และวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
ที่มีทั้ง
- มีส่วนประกอบเน้นหนักไปทางไหน
- มีเทคนิคการผสมให้เข้ากัน
ตอนเทลงเบ้า
นอกเหนือไปจากความ “บังเอิญ” ที่ทำไปตามทรัพยากรที่มี ที่หาได้ หรือตามความเชื่อ หรือได้จากการบริจาค เช่นในการสร้างเทวรูป หรือ พระพุทธรูป
ที่น่าทึ่งมากสำหรับผมก็คือ
มีการแพร่กระจายความรู้นี้จากศูนย์กลางการพัฒนาต่างๆในโลก แล้วถ่ายทอดแลกเปลี่ยนข้ามกันไปมา จนเกิดการวิวัฒนาการเป็นยุคต่างๆ
ที่แสดงว่า การพัฒนาการและการถ่ายทอดความรู้ในโลกนี้ มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
ตอนนี้ผมมีตัวอย่างของ “สำริด” แบบต่างๆ ที่มีความแข็ง และการใช้งานแตกต่างกันมากพอสมควร
จึงทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในประเด็นนี้ครับ
ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดมายกย่อง “สำริด” ว่าเป็นเทคโนโลยี ที่ไม่เคยล้าหลัง หรือล้าสมัย ปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่เลยครับ
ก็แค่เปลี่ยนคำเรียกจาก "สำริด" เป็น "อัลลอย" เท่านั้นแหละครับ
ก็ถือว่าเป็นของใหม่แล้ว
ที่เพิ่มเติมให้ดีกว่าเดิมก็น่าจะเป็น
- ชนิดโลหะที่ผสมตามวัตถุประสงค์ต่างๆ
- วิธีการผสมให้เข้ากันดีกว่าเดิม ทำให้แข็งและทนกว่าเดิม
แต่เทคโนโลยีพื้นฐานของ "โลหะผสม" ก็ "เดิมๆ" ครับ
นี่คือ อีกบทเรียนหนึ่งของการไปเรียนรู้ในตลาด “ของเก่า” และ พระเครื่อง ครับ
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ดร. แสวง รวยสูงเนิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น